นอกเหนือจากบทบาททางเศรษฐกิจและคุณค่าทางใจในฐานะเครื่องประดับและมรดกแล้ว ทองคำ ยังถูกนำมาใช้ในมิติที่พิเศษและใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของผู้คน นั่นคือ อาหารและยา ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดมายาวนานตั้งแต่ยุคโบราณ
1. ทองคำในอาหาร ความหรูหราที่กินได้และสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ การใช้ทองคำในอาหารมักมาในรูปแบบของ ทองคำเปลวบริสุทธิ์ (Pure Gold Leaf 24K) ซึ่งมีความบางเฉียบจนแทบไม่รู้สึกถึงเนื้อสัมผัส และถูกจัดเป็น "Food Grade" หรือเกรดที่ใช้สำหรับบริโภคได้อย่างปลอดภัยในการบริโภค หากเป็นทองคำบริสุทธิ์แท้ (Au) ร่างกายมนุษย์จะไม่สามารถย่อยหรือดูดซึมได้ เนื่องจากเป็นโลหะที่เฉื่อยต่อปฏิกิริยาเคมี จึงจะผ่านระบบทางเดินอาหารและถูกขับถ่ายออกมาโดยไม่เป็นอันตราย (แต่ควรระวังทองคำเปลวปลอม หรือทองปิดพระ ซึ่งอาจมีสารเคมีและโลหะหนักที่เป็นอันตราย)
คุณค่าทางสุนทรียภาพมีจุดประสงค์หลักของการใส่ทองคำเปลวในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น พิซซ่าเลี่ยมทอง เบอร์เกอร์เนื้อวากิวทองคำ หรือเหล้าที่มีเกล็ดทองคำ คือการสร้าง มูลค่าเพิ่ม และ ความหรูหรา ในระดับสูง ทำให้เมนูนั้นดูพิเศษและเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง เป็นการบริโภคเพื่อประสบการณ์และสุนทรียศาสตร์มากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ
2. ทองคำในยาและเครื่องสำอาง ภูมิปัญญาโบราณสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่ ในทางการแพทย์และเครื่องสำอาง มีการนำทองคำไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่หลากหลาย โดยมีทั้งการใช้ตามความเชื่อโบราณและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ในอดีตมีการใช้ทองคำเป็นส่วนประกอบในตำรับยาแผนไทยและแพทย์แผนจีน โดยเรียกทองคำว่าเป็น "กระสายยา" หรือตัวยาที่ใช้ผสมเพื่อเสริมฤทธิ์ของตัวยาหลักให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยาอายุวัฒนะ มีความเชื่อกันว่าทองคำมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ และช่วยให้มีอายุยืนยาว ซึ่งสืบทอดกันมาตามตำราแพทย์แผนโบราณ
ทองคำกับการแพทย์แผนปัจจุบัน (ปัจจุบัน) การรักษาโรคข้ออักเสบในทางการแพทย์ มีการนำสารประกอบของทองคำ (ไม่ใช่ทองคำเปลวบริสุทธิ์) มาใช้ในการรักษา โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) ซึ่งจัดเป็นการรักษาแบบดั้งเดิม (Historical treatment) โดยเชื่อว่าทองคำมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและช่วยชะลอความเสียหายของข้อต่อ แต่ปัจจุบันมีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
ทองคำในเครื่องสำอางและสกินแคร์ทองคำถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณมาตั้งแต่ยุคพระนางคลีโอพัตรา (Cleopatra) โดยโฆษณาถึงคุณสมบัติที่น่าสนใจ ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ มีงานวิจัยที่ชี้ว่าทองคำมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และช่วยต้านการอักเสบของผิวได้นาโนโกลด์ (Nanogold) เนื่องจากทองคำบริสุทธิ์มีโมเลกุลขนาดใหญ่และยากต่อการซึมเข้าสู่ผิว นักวิทยาศาสตร์จึงพัฒนาให้อยู่ในรูปของ อนุภาคนาโนทองคำ (Gold Nanoparticles) ที่มีขนาดเล็กมาก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้ผลิตภัณฑ์มีราคาแพง
ข้อควรระวังสำหรับผู้บริโภค แม้จะมีการโฆษณาสรรพคุณมากมาย แต่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มักจะย้ำเตือนว่า ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนเพียงพอในการพิสูจน์ว่าทองคำบริสุทธิ์จะสามารถลดเลือนริ้วรอยหรือทำให้ผิวขาวใสได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับครีมบำรุงทั่วไป ดังนั้นการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้จึงควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ทองคำจึงเป็นโลหะมหัศจรรย์ที่ผูกพันกับมนุษย์ในทุกแง่มุม ตั้งแต่การเป็นสินทรัพย์ที่ค้ำประกันชีวิตไปจนถึงการเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์บนจานอาหาร!
ที่มาของข้อมูล (References) Google Search 1. คุณค่าทางเศรษฐกิจ (Safe Haven, ชนะเงินเฟ้อ, การถือครองของธนาคารกลาง) World Gold Council (WGC) / สภาทองคำโลก เป็นองค์กรชั้นนำระดับโลกที่ให้ข้อมูลเชิงลึกและสถิติเกี่ยวกับตลาดทองคำทั่วโลก ข้อมูลนี้ใช้ยืนยันสถานะของทองคำในฐานะสินทรัพย์สำรองของธนาคารกลาง (World Gold Council Report) และบทบาทในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ตัวอย่างหัวข้ออ้างอิง การที่ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นผู้ซื้อทองคำสุทธิ (Net Buyer) ต่อเนื่องหลายปี และการที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ในช่วงวิกฤตการณ์โลกสถาบันการเงินและหน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจในประเทศ เช่น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (Krungsri) หรือตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนและแนวโน้มราคาทองคำในประเทศ 2. ประวัติศาสตร์ทองคำและคุณค่าทางใจ (มรดก, สัญลักษณ์ความมั่งคั่ง) ประวัติศาสตร์อารยธรรมและตำราโบราณ ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ทองคำตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ โรมัน และการใช้ในฐานะเครื่องประดับและมรดกของคนไทย สมาคมค้าทองคำข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาและการผลิตทองคำในประเทศไทย 3. ทองคำในอาหารและยา (ความปลอดภัย, เครื่องสำอาง)