นี่คือบทสรุปสุดท้ายของคดีความที่กลายเป็นข่าวดังในไต้หวันเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 ศาลสูงเกาสง ได้สร้างบรรทัดฐานสำคัญ เมื่อตัดสิน ยกฟ้อง ข้อกล่าวหาฉ้อโกงพยาบาลผู้ดูแล โดยให้ความสำคัญกับ เจตจำนงของผู้ป่วย เหนือการฟ้องร้องของทายาททางสายเลือด คำตัดสินนี้ไม่เพียงแค่ยืนยันสิทธิ์ในทรัพย์สินมูลค่า 49.3 ล้านบาท แต่ยังเป็นบทพิสูจน์อันทรงพลังถึงคุณค่าแห่งวิชาชีพที่ปฏิบัติด้วยหัวใจ
เรื่องราวนี้เริ่มจากความสัมพันธ์ที่พัฒนาจากหน้าที่สู่ความผูกพันที่บริสุทธิ์ ในเมืองเกาสง เมื่อ นางสาวจู (นามสมมติ) ผู้ดูแลได้เข้ามาในชีวิตของนายหยูนักธุรกิจชราผู้มั่งคั่ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) ตลอดกว่าทศวรรษนางสาวจูเป็นมากกว่าพยาบาล เธอคือเสาหลักแห่งความมั่นคงทางใจ ยามที่ภรรยาและบุตรหลานห่างเหินไป
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานนั้นนางสาวจูเธอรู้หน้าที่ เธอได้ทุ่มเทดูแลอย่างดีเยี่ยมเสมอมาซึ่งเป็นการปฏิบัติที่เหนือกว่าหน้าที่รับผิดชอบอย่างชัดเจน เธอใส่ใจในรายละเอียดการดูผู้ป่วยทั้งร่างกายและจิตใจผู้ป่วยที่ถูกละเลย ด้วยหัวใจและคุณธรรมเพื่อรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของการที่นายหยูไม่ได้รับความเอาใจใส่ดูแลจากภรรยาและลูก ๆ ในช่วงปี พ.ศ.2560 (ค.ศ.2017) ในขณะที่นายหยูมีอาการทรุดหนัก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของผู้ที่ป่วยวาระสุดท้าย แต่เค้ายังมีพยาบาล ซึ่งเธอนั้นอยู่เคียงข้างเสมออย่างไม่ย่อท้อ จากการกระทำนี้เองที่กลายเป็น ความดีงามของพยาบาลที่ชนะใจนายหยูโดยสมบูรณ์
นายหยูเศรษฐีเข้าใจดีว่าเวลาของการมีชีวิตของเค้าหมดลงแล้ว การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและชัดเจนเลือกที่จะไม่มอบทรัพย์สินก้อนใหญ่ให้กับภรรยาและลูก ๆ แต่กลับมอบให้กับพยาบาลผู้ที่ดูแลเขาอย่างแท้จริง นายหยูมีสติสัมปชัญญะดี ตระหนักว่าผู้ที่สมควรได้รับสิ่งตอบแทนจากทรัพย์สินคือผู้ที่เป็นหลักและให้การดูแลที่บริสุทธิ์ใจ เพื่อตอบแทนบุญคุณและยกย่องผู้ที่ให้ความทุ่มเทดูแลชีวิตของเขา (อันเป็นการแสดงเจตจำนงที่ตัดขาดสิทธิ์ของทายาทโดยสายเลือดอย่างชัดเจน) เขาจึงเชิญทนายความมาเป็นพยาน และดำเนินการ โอนเงินฝากจำนวน 46.58 ล้านเหรียญไต้หวันใหม่ (ประมาณ 49.3 ล้านบาทไทย) ให้แก่นางสาวจูก่อนที่เขาจะจากไป
หลังการจากไปของเศรษฐี ภรรยาและลูก ๆ ได้รวมตัวกันยื่นฟ้องร้องนางสาวจูต่อศาลทันทีในข้อหาฉ้อโกง แม้ศาลในชั้นต้นจะมีความเห็นแตกต่างออกไป แต่ในการพิจารณาคดีใหม่ของ ศาลสูงเกาสง ก็ได้มีคำตัดสิน กลับคำพิพากษาเป็นยกฟ้องบทสรุปที่สะเทือนวงการฎหมายไต้หวัน ศาลพิจารณาแล้วว่า หลักฐานไม่เพียงพอ ที่จะเอาผิดเรื่องการฉ้อโกง และที่สำคัญที่สุดคือ ศาลให้ความเชื่อมั่นใน เจตจำนงที่ชัดเจนและซื่อตรง ของนายหยูที่ต้องการตอบแทนความดีงามและความผูกพันที่พยาบาลได้มอบให้ เหนือกว่า การอ้างสิทธิ์ของทายาทที่ขาดความรับผิดชอบในการดูแล
ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่ามรดก และการยืนยันข้อเท็จจริง เรื่องราวของนางสาวจูจึงไม่ใช่แค่การชนะคดีมรดก แต่คือการประกาศว่า ความทุ่มเทด้วยความดีและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ในวิชาชีพพยาบาลนั้นมีคุณค่าและมีผลงานที่ยิ่งใหญ่ การกระทำที่ดีงามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะนำมาซึ่งรางวัลที่สมควรได้รับ
จากเหตุการณ์ที่คำพิพากษาของศาลสูงเกาสงยกฟ้องในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 เอกสารการทำธุรกรรมทางการเงิน ที่แสดงถึงการโอนทรัพย์สินอย่างชัดเจนต่อหน้าทนายความ ความจริงที่ว่าศาลได้ยอมรับและให้ความคุ้มครองเจตนาของผู้ป่วยที่มีสติสัมปชัญญะ
จึงเป็นข้อพิสูจน์ที่แข็งแกร่งที่สุดต่อคุณค่าของการทำงานด้วยหัวใจว่า "คุณค่าของการทำงานด้วยหัวใจนั้น มีมูลค่าเกินกว่าจะประเมินได้เสมอ"