Welcome to Thai nursing time
"ภาคีอาสา" เดินหน้าภารกิจสร้างรากฐานประชาธิปไตย ดันจัดตั้ง "องค์กรภาคประชาสังคมที่มีกฎหมายรองรับ" หวังเป็นกลไกสำคัญในการแสดงเจตจำนงของประชาชนในท้องถิ่น พร้อมเปิดตัว "ศูนย์กฎหมายท้องถิ่นและนโยบายสาธารณะ" เพื่อแก้ปัญหาหน่วยงานรัฐในพื้นที่ไม่กล้าดำเนินการเพราะขาดความแม่นยำทางกฎหมาย ขณะเดียวกันก็ได้มีการประกาศแผนขับเคลื่อนใน 5 จังหวัดนำร่องในปี 2569
9 องค์กรยุทธศาสตร์รวมพลังภายใต้ชื่อ "ภาคีอาสา" การรวมตัวของ 9 องค์กรภาคียุทธศาสตร์ ภายใต้ชื่อ "ภาคีอาสา" (Area Strengthening Alliance) ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) และ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) องค์กรเหล่านี้ได้จัดเวทีสัมมนาเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนจังหวัดเข้มแข็งโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน เมื่อวันที่ 15-16 ต.ค. 2568 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างกลไกที่ทรงพลังให้กับภาคประชาสังคม
"ภาคีอาสา" สร้างตัวตนให้ภาคประชาสังคม (แยกขาดจาก อปท.) ศ. ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ จาก นิด้า เปิดเผยว่า ภารกิจภาคีอาสาจะเดินหน้าใน 2 ช่วง คือ การพัฒนาตัวตนและสร้างระเบียบรองรับ และการพัฒนากฎหมายว่าด้วยหุ้นส่วนการพัฒนาของภาคประชาสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายระยะแรกคือ การจัดตั้งเครือข่ายภาคประชาสังคมในพื้นที่ให้เป็น "ไข่แดง" ก่อนขยายวงกว้างออกไป ท่านได้เน้นย้ำและเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า ทั่วประเทศมี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ราว 8,000 แห่ง แต่กลับไม่เห็น "พลัง" ของ อปท. ที่ชัดเจน เพราะ อปท. ไม่มีองค์กรกลไกที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการในทางกฎหมาย ทำให้ ภาคประชาสังคม ซึ่งมีอยู่เต็มผืนแผ่นดิน ไม่สามารถแสดงเจตจำนงในนามท้องถิ่นได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งที่มีงบประมาณหลายแสนล้านแต่ก็ไม่มีเจตจำนงของตัวเองที่มาจากประชาชนโดยตรง ดังนั้น "ภาคีอาสา" จึงเป็นบันไดขั้นสำคัญที่แยกออกมาเพื่อสร้างตัวตน และสร้างองค์กรภาคประชาสังคมที่มีกฎหมายรองรับ เพื่อให้ภาคประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงของตนเองได้อย่างเป็นทางการและเป็นอิสระ
แก้ Pain Point รัฐไม่กล้า! ผุด "ศูนย์กฎหมายท้องถิ่นและนโยบายสาธารณะ" นายไพสิฐ พาณิชย์กุล เครือข่ายศูนย์กฎหมายและนโยบายสุขภาวะ ในฐานะเครือข่ายภาคีอาสา ชี้ให้เห็นว่า อุปสรรคใหญ่ของการทำงานภาคประชาชนคือ การขาดความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐในจังหวัด เนื่องจากหน่วยงานรัฐในพื้นที่มักกังวลเรื่องข้อกฎหมาย เกรงกลัวการกระทำผิดและถูกตรวจสอบ จึงไม่กล้าตัดสินใจดำเนินการใดๆ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ "ศูนย์กฎหมายท้องถิ่นและนโยบายสาธารณะ" จึงถูกจัดตั้งขึ้นจากการรวมตัวของเครือข่ายนักกฎหมายในสถาบันการศึกษา 7 แห่งทั่วประเทศ (เช่น ม.พะเยา, ม.ขอนแก่น, ม.สงขลานครินทร์) ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแก่ทั้งกลไกภาคประชาชนและหน่วยงานรัฐในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันได้อย่างมั่นใจ ศูนย์กฎหมายฯ นี้จะมี Core team (ทีมวิชาการวิจัยปฏิบัติการ) เป็นพี่เลี้ยง ซึ่งจะเชื่อมโยงกับ Think Tank ผู้เชี่ยวชาญด้านการกระจายอำนาจ เช่น ศ. วุฒิสาร ตันไชย และอาจารย์ธีรยุทธ บุญมี เพื่อสนับสนุนงานของภาคีอาสาใน 5 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย นครสวรรค์ ขอนแก่น ตราด และพัทลุง
เปิดแผน "5 จังหวัดนำร่อง" ปี 2569 มุ่งสร้างรูปธรรมเชิงพื้นที่ ภายในงานสัมมนาฯ มีการจัดกระบวนการกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนและนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนงานในปี 2569 ใน 5 จังหวัดนำร่อง ซึ่งแต่ละจังหวัดมีทิศทางที่ชัดเจนดังนี้ จ.เชียงราย ชูประเด็น สารพิษลุ่มแม่น้ำกก และการพัฒนาเศรษฐกิจเรื่อง ชา กาแฟ ใน อ.แม่ฟ้าหลวง เมื่อมีข้อเสนอเป็นรูปธรรมแล้วจะจัดสมัชชาสุขภาพจังหวัดเพื่อจัดทำเป็น ธรรมนูญสุขภาพ จ.ขอนแก่น ขับเคลื่อน 2 ประเด็นหลัก คือ สังคมสูงวัย และ การจัดการน้ำท่วม พร้อมประเด็นย่อยอีก 10 ประเด็น เช่น ความเหลื่อมล้ำ และ จังหวัดจัดการตนเอง โดยจะมีการจัดเวทีประจำเดือนเพื่อแลกเปลี่ยนความคืบหน้า จ.นครสวรรค์ มุ่งเน้นเรื่อง คุณภาพชีวิต และ การจัดการทรัพยากรชุมชน พร้อมผลักดันให้เกิด สภาพลเมือง ที่มีโครงสร้างการทำงานที่เป็นทางการมากขึ้น และถอดบทเรียนผ่านเวทีสมัชชาสุขภาพ จ.ตราด ใช้โอกาสครบรอบ 1 ปีของการประกาศ จังหวัดจัดการตนเอง ในการทบทวนความคืบหน้า และค้นหามิติที่ภาคีอาสาจะสามารถหนุนเสริมให้การทำงานมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จ.พัทลุง จัดเวที สภาเมืองลุง โดยเน้นการขับเคลื่อนในประเด็น เขา ป่า นา เล มุ่งสู่การสร้างพื้นที่ต้นแบบที่จะนำไปสู่การเป็น "พัทลุงมหานครแห่งความสุข" และจะมีการจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่เป็นรายเดือน
การขับเคลื่อนของ "ภาคีอาสา" ในครั้งนี้ นับเป็นการวางรากฐานสำคัญให้กับการพัฒนาประชาธิปไตยจากฐานราก และสร้างกลไกที่ชัดเจนให้ภาคประชาชนสามารถมีส่วนร่วมและกำหนดทิศทางการพัฒนาท้องถิ่นของตนเองได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ภายในงานสัมมนาฯ ยังมีการจัดกระบวนการกลุ่มย่อย 5 จังหวัดนำร่อง เพื่อแลกเปลี่ยนการออกแบบและนำเสนอแนวทางการขับเคลื่อนงานภาคีอาสาร่วมกันในปี 2569 ภาคีอาสา จ.เชียงราย จะมีการพัฒนาข้อเสนอสร้างรูปธรรมในพื้นที่ระดับตำบล โดยชูธงประเด็นสารพิษลุ่มแม่น้ำกกเป็นประเด็นหลักในการขับเคลื่อน ขณะที่มิติทางเศรษฐกิจจะผลักดันการพัฒนาเรื่องชา กาแฟ โดยมุ่งเน้นพื้นที่ อ.แม่ฟ้าหลวง ต.แม่สลองนอก และ ต.แม่สลองใน และเมื่อมีข้อเสนอระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ก็จะจัดสมัชชาสุขภาพจังหวัดเพื่อจัดทำเป็นธรรมนูญสุขภาพต่อไป
นอกจากนี้ยังมีระบบการจัดการองค์ความรู้และการสื่อสารสาธารณะโดยมีทีมจากสถาบันการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ หน่วยงาน สวรส. เป็นพี่เลี้ยงให้การสนับสนุนภาคีอาสา จ.ขอนแก่น จะขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงประเด็นร่วม 2 ประเด็น ได้แก่ เรื่องสังคมสูงวัย และการจัดการน้ำท่วม และยังมีประเด็นย่อยอื่นๆ อีก 10 ประเด็น อาทิ ความเหลื่อมล้ำ การสร้างเศรษฐกิจเข้มแข็ง การท่องเที่ยว จังหวัดจัดการตนเอง ฯลฯ ที่จะขับเคลื่อนร่วมกับองคาพยพภาคประชาสังคมอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งในแต่ละประเด็นจะมีการจัดเวทีประจำทุกเดือนเพื่อแลกเปลี่ยนและนำเสนอความคืบหน้า โดยในเดือน ต.ค. จะมีการจัดเวทีครั้งแรกในประเด็นจังหวัดจัดการตนเอง ภาคีอาสา จ.นครสวรรค์ กำลังอยู่ในช่วงการก่อร่างสร้างรูปแผนการพัฒนาที่จะขับเคลื่อนประเด็นหลัก 2 เรื่อง ได้แก่ คุณภาพชีวิต และการจัดการทรัพยากรชุมชน
นอกจากนี้คือการผลักดันให้เกิดสภาพลเมืองที่จะต้องมีโครงสร้างการทำงานอย่างเป็นทางการมากขึ้น รวมไปถึงจะมีการผลักดันให้เกิดการถอดบทเรียนผ่านเวทีสมัชชาสุขภาพในพื้นที่ เพื่อให้เข้าใจว่าภาคประชาสังคมใน จ.นครสวรรค์ กำลังขับเคลื่อนการทำงานประเด็นอะไรกันอยู่ ภาคีอาสา จ.ตราด จะเริ่มต้นประชุมคณะทำงานภาคประชาสังคม เพื่อออกแบบเป้าหมายและวิธีการทำงานร่วมกัน ซึ่ง จ.ตราด มีกลไกภาคประชาสังคมที่ชัดเจน และได้ร่วมกันประกาศการเป็นจังหวัดจัดการตนเองไปเมื่อปีที่แล้ว จึงจะถือโอกาสในช่วงครบรอบหนึ่งปีในการพูดคุยกันว่า ที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อนอะไรไปอย่างไรบ้าง และยังขาดมิติใดที่ภาคีอาสาจะสามารถเข้าไปหนุนเสริมได้ ภาคีอาสา จ.พัทลุง จะมีการจัดเวทีสภาเมืองลุงในวันที่ 17 ต.ค. โดยจะใช้ประเด็นที่ได้รับจากเวทีภาคีอาสาในวันนี้เข้าไปนำเสนอด้วย เป้าหมายการขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ใน จ.พัทลุง จะมุ่งเน้นประเด็น เขา ป่า นา เล ผ่านการเชื่อมโยงร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม และจะมีการจัดเวทีพูดคุยเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการสร้างพื้นที่ต้นแบบที่จะนำไปสู่การเป็น “พัทลุงมหานครแห่งความสุข” อีกทั้งจะมีการจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะพื้นที่ในแต่ละโซนเป็นรายเดือนต่อไป